รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวประเทศศรีลังกา เที่ยวศรีลังกาด้วยตัวเอง ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวศรีลังกา

รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวประเทศศรีลังกา  เที่ยวศรีลังกาด้วยตัวเอง ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวศรีลังกา
Sri Lanka Trip Review รีวิวทริป เที่ยวประเทศ ศรีลังกา

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 4 เดินทางจากโพลอนนารูวา ไปสิกิริยา ชมพระราชวังลอยฟ้าเมืองสิกิริยา

สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันที่ 4 ของการเดินทางเที่ยวประเทศศรีลังกานะครับ ซึ่งเป็นวันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 2555 นะครับ พวกเราตื่นกันเช้ามาก มาแอบดูคุณณิชานติทำอาหารเช้าให้พวกเรากินครับ 



เธอเริ่มขูดมะพร้าวโดยกระต่ายขูดมะพร้าวแบบยึดกับโต๊ะและหมุนกับมือให้เหล็กแหลมๆที่เป็นหัวปั่นหมุน ทำให้มะพร้าวหลุดออกเป็นฝอยๆคล้ายๆบ้านเรา แต่ของเขาไม่มีกระต่ายแบบนั่งขูดมะพร้าวเหมือนบ้านเราครับ แล้วก็ใช้แป้งอะไรก็ไม่รู้ มาทำเป็นแผ่นเป็นโรตีครับ เธอมีให้เลือกด้วยว่าจะกินกับแยมผลไม้หรือกินกับเครื่องแกงแบบศรีลังกาของแท้เลยครับ ผมขอลองเครื่องแกงศรีลังกาเลยครับวันนี้จะได้คุ้นๆกับรสชาติแบบศรีลังกา ตอนแรกก็กล้าๆกลัวๆ เพราะมันเหมือน...เหมือน...เอ่อ จินตนาการนะครับ อิๆ แต่พอกินเข้าไปแล้ว รสชาติมันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิดนะครับ คุณณิชานติเห็นผมกินได้ก็ดีใจใหญ่จัดการราดซะเต็มจานเลยทีนี้ ลุงเสริมก็บอกอร่อย มีพี่สุรชัยกับพี่ทิพย์แหละกินไม่ได้เลย สองคนนี้กินกับแยมผลไม้อย่างเดียว พอเห็นว่าพวกเรากินกันได้เยอะ คุณณิชานติก็ทำมาให้เราเพิ่มอีกหลายแผ่นมากๆ จนเราต้องบอกเธอว่าพอแล้ว และพวกเราก็แอบห่อไปเป็นเสบียงการเดินทางไปสิกิริยาในวันนี้ด้วย กินเสร็จก็จัดการเคลียร์บิลค่าอาหารและเครื่องดื่มต่างๆที่เราสั้งทั้งหมดสองห้องรวมกัน 4,400 รูปี (1,100 บาท) เมื่อวานนี้พวกเรานัดสองโชเฟอร์ที่พาเราเที่ยวให้มารับพวกเราตอน 8:30 น. ตกลงราคากันไว้แล้ว จากโรงแรมถึงสถานีขนส่งเมืองโปโฬนนารุวะ คันละ 300 รูปี (75 บาท) คุณณิชานติบอกว่าที่จริงเรารอที่ป้ายรถบัสที่จอดให้เราลงเมื่อวานก็ได้ แต่พวกผมอยากขึ้นต้นที่สถานีครับเพราะจะได้นั่งด้วย ไม่อยากยืนเลยครับ สงสารลุงเสริม 



ระหว่างรอโชเฟอร์มารับ ลุงเสริมอยากเห็นคุณณิชานติแต่งตัวชุดยูนิฟอร์มแบบศรีลังกาที่เธอใส่เวลาทำงาน(งานธนาคาร) เพราะยังติดใจไม่หาย ผมเลยขอร้องให้เธอใส่ชุดนั้นอีกที แล้วมาถ่ายรูปกันครับ เสียดายจังเพิ่งเห็นว่าพี่ทิพย์หลับตาซะ ได้มาแค่รูปเดียวเอง 


เวลา 8:30 น. สองโชเฟอร์ก็มารับพวกเราตามนัดไว้ครับ จาก Homestay ของคุณณิชานติไปท่ารถขนส่งใช้เวลา 15 นาทีครับ อยากจะบอกว่าสถานีรถบัสเมืองโปโฬนนารุวะ มีความสะอาด และระบบระเบียบดูดี และสะอาดกว่าที่อนุราธปุระเยอะครับ เมื่อคืนคุณณิชานติบอกวิธีไปสิกิริยาให้พวกเราแล้ว คือจากสถานีขนส่ง ให้พวกเรานั่งรถบัสสายอะไรก็ได้ที่ไปเมืองแคนดี้ คุรุแณคะละ หรือโคลอมโบก็ได้ครับ แต่ให้ลงที่สามแยกอินามาลูวา (Inamaluwa Junction) ถ้าไม่แน่ใจก็ถามรถก่อนขึ้นนะครับ พวกเราเลือกรถสายที่จะไปแคนดี้ครับ 


ขึ้นมาบนรถเจอครอบครัวศรีลังกานั่งฝั่งตรงข้ามพวกเราครับ น่ารักมาก 


รถออกเวลา 9:15 น. วิ่งช้าๆ รับส่งผู้โดยสารรายทางเรื่อยๆครับ จนมาถึงแยกที่พวกเราลงรถบัสเมื่อวาน ปรากฏว่าที่นั่งก็ยังว่างครับ มิน่าล่ะคุณณิชานติบอกรอตรงนี้ก็ได้จะได้เดินออกมาจาก Homestay เลย แต่ก็ดีแล้วที่เราไปขึ้นต้นสาย จะได้เลือกรถด้วย ถามให้มันเคลียร์ๆว่าผ่านแยกอินามาลูวาหรือเปล่า 


สักพักกระเป๋ารถบัสมาเก็บเงินผู้โดยสารครับ พวกเราบอกว่าไป Inamaluwa Junction  เขาก็เก็บคนละ 80 รูปีครับ (20 บาท) ถูกมาก นั่งจนคุ้ม  


นั่งนับเวลาได้ 1 ชั่วโมงกับอีก 15 นาที รถบัสก็มาถึงแยกอินามาลูวา ครับ คนขับบอกให้เราลงตรงแยกนี้ครับ คุณณิชานติบอกแล้วว่าที่ตรงแยกจะมีรูปปั้นคล้ายๆกรงเล็บสิงโตเลียนแบบกรงเล็บสิงโตที่พระราชวังลอยฟ้าที่พวกเราจะไปเที่ยวกันวันนี้ครับ 


เอาอีกภาพ จะได้เห็นชัดๆจะๆ ว่าเป็นยังไงตรงแยก Inamaluwa ตรงแยกนี้มีรถสามล้อตุ๊กๆรออยู่แล้วครับ พวกเราบอกไปสิกิริยา เขาบอกราคาคันละ 400 รูปีครับ แต่พอผมบอกว่าให้ไปส่งที่โรงแรม สิกิริยาวิวรีสอร์ท เขาก็ขอเพิ่มเป็น 500 รูปีครับ เพราะเขาบอกว่าต้องเข้าไปข้างในอีกไกล แต่พวกเราฉลาดครับ แกล้งทำทีว่าเดินออกไปไม่สนใจ เดินข้ามแยกไปทางป้ายรถเมล์ที่มีป้อมปราการเป็นอิฐแบบรูปล่างนี้นะครับ 


คุณณิชานติบอกพวกเรามาแล้วว่าสามารถรอรถที่จะไปสิกิริยาได้ตรงป้ายรถเมล์ตรงนี้ สักพักอีตาโชเฟอร์ก็มาง้อเราตามคาดครับ ตกลงราคาคันละ 400 รูปี เช่นเดิมครับ (100 บาท) 


นั่งตุ๊กๆ มา15 นาที จากแยก อินามาลูวา ก็มาถึงซอยที่เป็นทางแยกไปโรงแรม Sigiriya View Resort ครับ 


อีก 5 นาทีจากปากซอย เราก็มาถึงโรงแรมที่จองไว้ครับ สิกิริยาวิวโฮเต็ล 


ลักษณะของโรงแรมจะออกแนวจังเกิ้ลนิดๆครับ คือเสมือนว่าอยู่ในป่าครับ ไปถึงโรงแรมเงียบกริบ ไม่มีคนมาพักเลย (ที่จริงก็มีฝรั่งมาพัก แต่เขามาถึงตอนค่ำๆกัน เรามาแต่หัววัน) แต่สักพักก็มีลุงแก่ๆคนหนึ่งออกมาต้อนรับให้พวกเราเช็คอินครับ


โฉมหน้าโชเฟอร์ตุ๊กๆ คันที่ผมกับลุงเสริมนั่งมาครับ จ่ายค่ารถวันนี้ไปคันละ 400 รูปี (100 บาท) ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยจัดการนัดให้มารับพวกเราวันพรุ่งนี้เลยละกันครับ เพราะว่าพวกเราจะไปวัดทอง และ Rock Temple ที่ดัมบุลลาครับ ด้วยรถตุ๊กๆนี้ เขาคิดราคาเราคันละ 800 รูปีครับ (200 บาท) ในวันพรุ่งนี้


ตรงนี้เป็นหน้าฟร้อนท์ หรือรีเซ็ปชั่่นครับ เป็นที่ทานอาหารเช้าของพวกเราด้วย และถ้าจะใช้ Wifi ก็มาเปิดสวิตช์เอาเองตรงหน้าฟร้อนท์ที่นี่แหละครับ แต่สัญญาณไปไม่ถึงห้องครับ ต้องนั่งเล่นที่นี่สถานเดียว 


หลังจากนั้น ลุงแก่ๆคนนั้นก็พาเราเดินมาที่ห้องครับ ห้องเป็นห้องแอร์ แต่ตอนจองโรงแรมนี้กับอโกด้า ผมจองแบบห้องพัดลมธรรมดาเขาเลยตัดไฟแอร์ออกครับ แต่อากาศที่นี่เย็นสบายมากครับ ไม่ร้อนเลยนี่คือโฉมหน้าของลุงครับ ถ่ายกับลุงเสริม


ให้ดูด้านหน้าของห้องพักครับ มีประมาณ 8 ห้องครับทั้งโรงแรม ผนังห้องเหมือนเอาดินมาโปะแล้วทาสีเหลืองครับ 


ด้านหน้าของห้องจะเห็นเป็นวิวแบบมีเถาวัลย์เลื้อยคดเคี้ยวไปมาครับ เสมือนอยู่ในป่าจริงๆ


เดินออกมาด้านข้างโรงแรม มีเปลชิงช้าให้นั่งแกว่งเล่นด้วย และจะเห็นวิวแบบนี้ครับ องค์พระยืนเด่นตระหง่านอยู่ไกลๆ สวยงามมากครับ 


อีกมุมของโรงแรมจะเห็นวิวของแท่งหินใหญ่ของพระราชวังลอยฟ้าอย่างชัดเจนครับ ซึ่งเราจะเดินไปชมกันตอนบ่ายวันนี้ครับ



ก่อนออกไปเที่ยว กองทัพก็ต้องเดินด้วยท้อง สั่งหมี่ผัดไก่มากินคนละจานก่อนครับ เพราะเสบียงที่เอามาจากบ้านคุณณิชานติหมดเรียบร้อยแล้ว ขอบอกว่าโรงแรมนี้ทำอาหารช้ามากๆครับ กว่าจะได้กินปาเข้าไปชั่วโมงกว่า เพราะฉะนั้นขอเตือนว่าถ้าจะสั่งอาหารโรงแรมนี้กิน ตั้งสั่งล่วงหน้านานๆครับ (ตอนเย็นวันนี้เราเลยสั่งแต่เนิ่นๆครับ นัดเวลาให้เขาทำให้เสร็จเลยตอน 1 ทุ่มครับ) ที่สั่งกินเพราะเขาบอกว่าทำไม่นาน พอเอาเข้าจริงๆ เป็นชั่วโมงครับ โมโหหิว แถมเสียเวลาเที่ยวอีกต่างหาก 


กินอิ่มแล้วก็ออกเดินทางครับ เดินไปตามทางลูกรังแดงๆนี้ไปครับ ไมไกลมากประมาณ 300 เมตรก็จะถึงแยกที่จะเลี้ยวเข้าไปยังพระราชวังลอยฟ้าได้ครับผม ขอเตือนว่าเตรียมร่ม หรือหมวก และเสื้อกันฝนไปด้วยครับ แดดร้อนมากๆ ตอนบ่ายแก่ๆ ฝนก็ตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา ร่มยังเอาไม่อยู่ครับ (พวกผมเตรียมไปหมดทุกอย่างก็ได้ใช้หมดทุกอย่างครับ เหมือนตอนที่ผมไปเที่ยวอินโดนี่เซียที่เกาะชวากับเกาะสุลาเวสีเลยครับ)


ก่อนเข้าไปยังทางเข้าของพระราป้อมปราการลอยฟ้า สิกิริยา (The Fortress Sigiriya) ก็จะเจอวัดนี้ก่อนครับ ต้องขออภัย ลืมจดชื่อวัดมาครับ ซึ่งองค์พระพุทธรูปที่เด่นตระหง่านอยู่นี้คือพระพุทธรูปที่เราสามรถมองเห็นจากโรงแรมครับ 


ก็เลยเข้าไปชมวัดนี้กันนิดหน่อยนะครับ ก่อนจะเดินขึ้นภูเขา


แถมอีกรูปครับ 


เสร็จแล้วก็เดินมาฝั่งตรงข้ามกับวัดนั่นก็คือทางเดินเพื่อที่จะเข้าไปยังป้อมปราการลอยฟ้าสิกิริยาครับ ระหว่างทางก็มีของขายมากมาย กะว่าจะมาชมตอนขากลับ (แต่ปรากฏว่าวันที่ผมไปนั้นฝนตกหนักตอนเย็น ร้านก็เลยปิดกันหมดเลยครับ อดดูของเลย) 


ระหว่างทางก็เจอชาวบ้านเอาผลไม่อย่างมะม่วงกับลูกดีวูลหรือมะขวิด มาขายตามข้างทางด้วยครับ


เดินเข้าไปเรื่อยๆก็จะเจอป้ายนี้ตรงทางเข้าครับ ไม่รู้มันคือป้ายอะไร เหมือนเป็นป้ายชื่อคนที่เป็นศาสตราจารย์อะไรซักอย่าง


เดินเข้าไปอีกก็ยังเจอของขายแบกะดิน เป็นภาพสวยๆงามๆหรือภาพเจ้าชายสิททัตถะวางบนกระจกมีกรอบ แต่กรอบทำเหมือนกับเอาเทปเป็นสีๆมาติดรอบๆ อันหนึ่งก็รู้สึกจะเทียบเงินไทยก็ 40 บาท 


เดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ ทางเดินจะเริ่มเป็นป่าเรื่อยๆครับ มีต้นไม้รูปทรงแปลกๆด้วย เหมือนในรูปครับ 


มีป้ายเตือนบอกว่าห้ามเดินเข้ามาช่วงหลัง 6 โมงเย็นเพราะจะมีช้างป่าหรือสัตว์ป่าออกหากินตอนกลางคืนบริเวณนี้ครับ (น่ากลัวแฮะ ขากลับตอนฝนตก ต้องรีบเดินกันมากกับลุงเสริมสองคน เพราะกลัว แทบไม่มีคนเดินเลย แต่ก็ไม่เห็นมีสัตว์อะไรออกมาซักตัว)


มีหลักเขตแดนปักบอกไว้ด้วยครับว่าเดินเข้ามาได้ 200 เมตรแล้ว (เหลืออีกไกลครับ แค่ลุงเสริมเดินละลิ่วไปข้างหน้าแล้ว) 


ในที่สุดก็เดินมาจนถึงทางแยกครับ ตรงนี้จะเป็นป้ายบอกทางให้เลี้ยวเข้าพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเราตั้งใจว่าจะไปชมหลังจากขึ้นป้อมปราการลอยฟ้าแล้ว  ส่วนด้านตรงข้ามป้ายนี้จะมีซุ้มขายบัตรค่าเข้าป้อมปราการลอยฟ้าครับ 


ค่าเข้าชมที่สิกิริยาจะแพงที่สุดแล้วครับ ในบรรดาสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆของศรีลังกา คือ 30  ยูเอส ดอลลาร์ครับ แต่ถ้าจ่ายรูปีก็ 3900 รูปีต่อคนครับ (975 บาท) แพงจนพี่ทิพย์และพี่สุรชัยต้องตัดใจ ณ บัดนั้นว่าจะไม่ขึ้นไปชม เพราะต้องการประหยัดเงินไว้เที่ยวที่แคนดี้ เพราะตอนแรกผมเคยอ่านข้อมูลมาบอกซื้อตัวแบบ Round Trip แค่ 50 Us dollar ก็ชมได้ทุกเมือง แต่ตอนนี้ต้องจ่ายแยกทั้งหมดแล้วครับ ผมกับลุงเสริมเลยต้องขึ้นไปกันแค่สองคน (ไม่ได้รวยนะครับ แต่เงินเดือนผมเพิ่งเข้าช่วงนี้พอดี เลยไปกดเอทีเอ็มเอาทีหลังได้ แต่กลับมาก็กินแกลบอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนกัน อิๆๆ)  พี่สุรชัยกับพี่ทิพย์ก็แยกกับพวกผมตรงนี้เดินกลับโรงแรมทันที 


ซื้อบัตรแล้วก็เดินเข้ามาจะมีซุ้มตรงนี้นะครับ มีเจ้าหน้าที่คอยตรวจบัตรอยู่ครับ 


ผ่านด่านตรวจตั๋วก็เดินข้ามสะพานเข้ามาเลยครับ 


เข้ามาแล้วก็จะเป็นทางเดินแบบอีกไกลครับ สองข้างทางเป็นบึง หรืออาจจะเป็นสระน้ำสมัยก่อนนะครับ 


ป้อมปราการอยู่เบื้องหน้าเราอีกไกลทีเดียวครับ 


สุดท้ายเราก็เดินกันมาถึงครับ เหงื่อแตกเล็กน้อย ยังครับ ยังไม่เหนื่อย แต่ร้อน หลังจากนี้สิครับ ชีวาจะวางวาย 555 ใครจะมาเที่ยวขอบอกไว้ก่อนว่า เหนื่อยมากครับ เดินขึ้นป้อมปราการลอยฟ้าสิกิริยาเนี่ย  เริ่มเดินขึ้นครับทีนี้ 

สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อมาสถานที่แบบนี้แบบเดี่ยวๆ ไม่มีไกด์ก็คือ ไกด์ท้องถิ่นครับ ที่จะเข้ามาตีสนิทกับเรา แล้วแนะนำโน่นนี่ ขนาดบอกว่าไม่เอาก็ยังตามตื๊ออยู่ได้ เพราะมีตาไกด์ท้องถิ่นเสื้อขาวในรูปข้างบนพยายามตื๊อเรา เดินตามเราอยู่นั่นแหละ  ผมบอกว่าไม่เอาไกด์ก็ยังเดินมาอีก (ถ้าคุณเจอสถานการณ์แบบนี้ อย่าไปตวาดหรือแสดงกิริยาหยาบคายกับเขานะครับ ผมว่าเขาก็น่าสงสารนะ แต่ถ้าไม่ต้องการจริงๆก็โกหกไปก็ได้ว่าเราไม่ต้องการไกด์เพราะเคยมาแล้ว เมื่อวานนี้ วันนี้มาอีกเพราะพาเพื่อนมาชม หรือเคยมาแล้วเมื่อปีที่แล้ว ฉันรู้ทุกอย่างดีที่นี่ดี ผมว่าเขาก็ไม่มาตื๊อแล้วล่ะครับ ผมใช้มุขนี้ได้ผลที่แคนดี้ครับที่วัดพระเขี้ยวแก้ว แต่ที่สิกิริยาตอนนั้นมันนึกอะไรไม่ออกว่าจะพูดอย่างไรดี เลยปล่อยเลยตามเลยให้เขาเดินตามมาเรื่อยๆ) ก็เห็นเขาช่วยพยุงลุงเสริมขึ้นลงด้วยอย่างคล่องแคล่วก็เลยยอมเขาครับ 


พอทำใจได้แล้วว่าต้องมีไกด์นำขึ้นมา ไกด์ก็พาเรามาอีกด้านหนึ่ง ซึ่งเป็นด้านขวามือจากทางขึ้นปกติ บอกว่าไปดูหน้าผางูจงอางครับ เพราะเหมือนงูแผ่แม่เบี้ยครับ 


ข้างบนอีกมุมหนึ่งไกด์ก็ชี้ให้ดูว่ามันมีอ่างเก็บน้ำข้างบนนี้ด้วยครับ 


มองออกไปไกลๆก็เห็นองค์พระพุทธรูปของวัดที่อยู่หน้าทางเข้าครับ โอ้ว นี่เราเดินกันเข้ามาไกลมากๆเลยนะเนี่ย (คิดในใจ) 


ผมมัวแต่ถ่ายรูป อีตาไกด์ท้องถิ่นมันหิ้วปีกลุงเสริมเดินขึ้นไปแล้ว ดูมันทำกับพ่อผมไม่ให้แกพักเหนื่อยบ้าง  555  ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ลุงเสริมแกบอกว่ายังไม่เหนื่อย ส่วนผม ขึ้นมาตรงนี้ก็หนักพุงเดินขึ้นแทบไม่ไหวจริงๆครับ ผิดคาดมากๆ เพราะตอนแรกผมคิดว่าลุงเสริมน่าจะเดินขึ้นไม่ไหวเพราะขาแกใส่เหล็กอยู่ด้วย แต่กลับเป็นผมซะเองที่ไม่ไหว อิๆ แต่ก็ฝืนทนเดินขึ้นตามไปครับ จนไปเจอบันไดทางแยกที่เป็นทางขึ้นปกติจากด้านหน้าครับ (เพราะเมื่อกี้เราขึ้นมาด้านข้าง) 


โฉมหน้าของไกด์ท้องถิ่นถ่ายรูปกับลุงเสริมครับ 


แล้วก็ขึ้นมาทางบันได้ มีกำแพงสีส้มๆแบบนี้นะครับ 


หลังจากนั้นก็จะเป็นปราการด่านสำคัญที่หลวงไข่แทบจะเข็ดหลาบและอ๊วกครับ เพราะมันคือบันไดวน ขึ้นไปสูงๆแบบนี้ครับ สูงมากๆ นับได้ 60 ขึ้น จำนวนขั้นอาจจะไม่เยอะ แต่มันจะทำให้คุณเวียนหัวจริงๆนะครับ เพราะว่ามันคือบันไดวน ที่จะพาเราขึ้นไปชมภาพวาดปูนเปียก หรือเฟรสโก้ครับ (Frescoes) เป็นภาพนางอัปสรงดงามหลายอิริยาบทอ่อนช้อยเหมือนสาวชาววัง 


ภาพเฟรสโก้ที่ผนังถ้ำเป็นแบบนี้นะครับ มีหลายภาพครับ ไม่น่าเชื่อว่ามันจะอยู่ได้เกือบ 2000 ปีมาแล้ว


สิกิริยา กร่อนมาจากคำภาษาบาลีว่า สิงหคีรี แปลว่าภูเขาแห่งพญาราชสีห์ เดิมเป็นพระราชอุทยานนอกเมืองหลวงอนุราธปุระ สำหรับเป็นที่ประภาสป่าล่าสัตว์ของกษัตริย์ยามว่างเว้นจากพระราชกรณียกิจ สมัยต่อมาพระเจ้ากัสสปะได้ทำปิตุฆาตปลงพระชนม์พระเจ้าธาตุเสนะ แล้วเกิดความกลัวว่าอาณาประชาราษฎร์จะลุกฮือต่อต้าน จึงโปรดให้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่แห่งนี้ โดยมอบหมายให้พราหมณ์ชาวอินเดียตอนใต้เป็นสถาปนิกออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง แต่พระองค์ก็เสวยสุขได้เพียง 18 ปี เมื่อเจ้าชายโมคคัลลานะผู้อนุชาเสด็จกลับมาจากอินเดียพร้อมกับทหารชาวทมิฬปัณฑยะเป็นจำนวนมาก หลังการสู้รบระหว่างสองฝ่าย ผลปรากฎว่าพระเจ้ากัสสปะถูกเจ้าชายโมคคัลลานะปลงพระชนม์ หลังจากนั้นพระเจ้าโมคคัลลานะได้มอบถวายสิงหคีรีแด่พระสงฆืฝ่ายอรัญวาสี


สมัยต่อมา พวกทมิฬหินชาติบุกเข้ายึดครองเกาะลังกา ราชวงศ์สิงหลจำต้องหนีภัยถอยร่นลงใต้เรื่อยไป สิงหนครคีรีจึงเลือนหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์หลายศตวรรษ กลายเป็นที่สิงสู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด จวบจน พ.ศ.2383 นายทหารอังกฤษนามว่าฟอร์เบส (Forbes) ได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของสิงหคีรีโดยบังเอิญ จึงแจ้งให้รัฐบาลอังกฤษได้รับทราบ จากนั้น พ.ศ.2433 คณะสำราจโบราณคดีของอังกฤษโดยการนำของเบลล์ (H.C.P. Bell) ได้เข้ามาสำรวจตรวจค้นและทำการบูรณะอยู่หลายปี แต่ไม่แล้วเสร็จ จวบจนกองโบราณคดีของศรีลังกาเข้ามาสานงานต่อจึงสำเร็จเสร็จสิ้น และองค์การยูเนสโกได้จดทะเบียนขึ้นเป็นมรดกโลกเมื่อ พ.ศ. 2525 


ความอัศจรรย์ของพระราชวังลอยฟ้าสิกิริยาอยู่ที่การออกแบบอย่างประณีตลงตัวรู้จักจัดวางแต่ละสิ่งอย่างตามตำแหน่งอย่างเหมาะสม แสดงให้เห็นว่าสถาปนิกแตกฉานด้านสถาปัตยกรรม การวางผังเมือง การจัดสวน การผันน้ำ และศิลปะงานฝีมือ นอกจากนั้นยังมีภาพวาดปูนเปียก อันโด่งดัง (Frescoes) เป็นภาพนางอัปสรงดงามสมส่วนหลากหลายอิริยาบทเหมือนสาวชาววัง 
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 272 - 273


บางรูปสีก็ซีดมากแล้วครับ เลือนหายไปกับกาลเวลาครับ 


หลังจากนั้นก็เดินลงบันได้วนอักฝั่งครับลงมาข้างล่าง (เขาจะแยกบันไดขึ้นลงกันคนละทางครับ) แอบถ่ายองค์พระพุทธรูป กับทางเดินที่เราได้เดินเข้ามาอีกที 


ลงมาข้างล่างอีกฝั่งหนึ่งจะเป็นกำแพงกระจก (Mirror Wall) เป็นกำแพงสีส้มๆแบบนี้ครับ ตลอกแนวทางเดินที่จะขึ้นไปส่วนข้างบนของพระราชวังลอยฟ้าครับ


ตลอดทางเดินของกำแพงกระจก หรือ Mirror Wall นั้นจะมีการกั้นเป็นแนวเพื่อมิให้นักท่องเที่ยงเข้าไปสัมผัสกำแพงนะครับ 


เดินไปข้างหน้า แต่กำลังตะลึงในความมหัศจรรย์ เลยต้องหันกลับไปถ่ายรูปด้านหลังที่เราเดินผ่านมาครับ มีทั้งบันไดวนที่ต้องขึ้นไปชมภาพเฟรสโก และกำแพงแก้วนะครับ 


ตาไกด์ท้องถิ่นพาลุงเสริมขึ้นไปโน่นแล้ว ลุงเสริมหันกลับมาถามลูกชายที่กำลังเหงื่อท่วมตัว ด้วยความเป็นห่วง ว่าไหวมั้ย ลูกชายก็ตอบว่าไหวครับ แต่ให้พ่อขึ้นไปก่อนเลยครับกับไกด์ไม่ต้องรอผม อิๆๆ เหนื่อยมาก แอบหยุดด้วยการถ่ายรูปวิวตามรายทาง 


ถ่ายย้อนกลับไปข้างหลังอีกที ฝนกำลังตั้งเค้ามาเลยครับ 


ด้านซ้ายมือ มองออกไปด้านนอก เห็นร่องรอยอาคารแบบนี้ครับ แต่ลืมไปแล้วว่ามันคืออะไร ลืมจดเอาไว้ ต้องขออภัยครับ แต่จำได้ว่าไกด์ท้องถิ่นบอกว่า ตรงหน้าผาตรงนี้เขาจะทิ้งหินก้อนใหญ่ๆลงไปทับข้าศึกที่อยู่ข้างล่างด้วยครับ 


เลยเขตกำแพงแก้วมาแล้ว เราก็จะเดินมาถึงลานกว้างๆครับ ตรงนี้มีรูปกรงเล็บสิงโตตรงทางขึ้นไปบนพระราชวังลอยฟ้าขององค์พระราชาครับ ขอบอกว่าต้องขึ้นอีกหลายขึ้นที่เดียวครับ ลมก็แรงเพราะฝนกำลังจะตกในไม่ช้า 


สุดท้ายลุงเสริมและหลวงไข่ก็ สามารถพาสังขารขึ้นมาจนถึงยอดสุดของพระราชวังลอยฟ้าเมืองสิกิริยาที่เห็นวิวรอบๆครับ แถมหวาดเสียวเพราะลมเริ่มพัดแรงมากฝนลงเม็ดมาเปาะแปะแล้วครับ 


ไกด์บอกว่าเป็นสระที่ใช้สรงน้ำของพระราชาครับ 


อาณาบริเวณรอบๆของพระราชวังที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตกาลครับผม 


ชมความยิ่งใหญ่จนเพียงพอแล้วก็ลงมาข้างล่างทางเดิมครับตรงทางขึ้นกรงเล็บสิงโต ถ่ายรูปแบบแนวตั้งมาให้ดูอีกรูปว่าต้องเดินขึ้นไปอีกแค่ไหนนะครับ สูงลิ่วเลยครับ แถมมีลมพัดให้หวิวๆ เป็นระยะๆ 


เวลาลงก็ต้องเดินลงมาอีกทาง แหงนหน้ามองย้อนกลับไป เห็นแนวกำแพงแก้วสีส้มๆยาวอยู่ด้านบนครับ 


เสร็จกิจผมให้ไกด์ไป 1000 รูปี แต่มันไม่ยอม มันจะเอา 20 ยูเอสดอลล่าร์ ผมเลยไม่พอใจ คิดในใจนี่มันปล้นกันชัดๆ เลยพูดขึ้นว่าผมบอกคุณแล้วว่าผมไม่ต้องการไกด์ตั้งแต่แรก แต่คุณก็ยังตามผมอยู่ได้ ที่ผมให้คุณนี่เพราะเป็นค่าช่วยพยุงพ่อผมเดินขึ้นลงหรอกนะ ไม่ใช่ให้เพราะความรู้อะไรเพราะคุณก็ไม่ได้อธิบายอะไรผมเลย ภาษาอังกฤษคุณผมก็ฟังยากๆ ไม่ค่อยเข้าใจ พอผมพูดอย่างนี้ตาไกด์ก็ทำหน้าเศร้าๆ ผมก็อดสงสารไม่ได้อีก ควักตังค์ไปให้อีก 100 บาทไทย แต่ก็ไม่พอใจนิดๆว่ามันจะอะไรกันนักกันหนา นี่โชคดีนะที่เจอผม ผมว่าเจอคนเคี่ยวๆกว่านี่อีตานี่คงได้กินแกลบเป็นแน่ 


เดินออกมาทางเดิมจนถึงทางแยกตรงซุ้มที่เราซื้อตั๋ว เพื่อเดินเข้าพิพิธภัณฑ์ครับ ที่นี่ก็จัดแสดงประวัติความเป็นมาของป้อมปราการลอยฟ้าสิกิริยาแห่งนี้ ประวัติการบูรณะซ่อมแซมต่างๆ และวีดีทัศน์แสดงภาพกราฟฟิก ของพระราชวังบนป้อมปราการลอยฟ้าแห่งนี้ 


อีกด้านหนึ่งจะทำเป็นซุ้มทางเข้แบบนี้ครับ ด้านในเป็นพวกศิลปะวัตถุที่ถูกค้นพบต่างๆที่นี่ แต่เขาห้ามถ่ายรูปครับ เลยไม่มีรูปมาให้ชมกัน  ส่วนชั้นบนจะจัดให้เป็นทางเดินมีระเบียงให้เหมือนทางเดินบนผนังถ้ำและมีภาพเฟรสโกของนางอัปสร เลียนแบบเหมือนของจริงบนถ้ำทุกประการครับ  ตรงทางออกมีร้านขายของที่ระลึกครับ ราคาต่อรองไม่ได้ครับ ผมได้แม่เหล็กติดตู้เย็นมาฝากที่ออฟฟิซ 4-5 อัน ครับ (แม่เหล็กติดตู้เย็นอันละ 250 รูปี ครับผม) 


หลังจากนั้นก็เดินกลับครับ ฝนก็เทกระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา เริ่มืดด้วยเพราะเดินกันในป่า เหมือนเราเดินออกมาเป็นกรุ็๊ปสุดท้ายยังไงยังงั้น ลุงเสริมบอกกลัวช้างป่าเพราะนึกขึ้นได้ถึงป้ายเตือนตอนเข้ามา รีบเดินกันใหญ่เลย แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ กลับถึงโรงแรมอย่่างปลอดภัยในสภาพเปียกมะล่อกมะแล่กครับ ทั้งๆที่ใส่ทั้งเสื้อกันฝนทั้งร่มแล้วนะ 555 ไม่ใช่อะไร คนตัวยาว เสื้อฝนเอาไม่อยู่ รองเท้าเลอะดินแดงของถนนเต็มไปหมด ต้องผึ่งลมทั้งคืน ตอนเช้าแถมกลิ่นอับๆมาด้วย ถึงโรงแรมพี่สุรชัยกับพี่ทิพย์รออยู่แล้วครับ สั่งข้าวผัดไว้แล้วนัดให้แม่ครัวโรงแรมทำให้เสร็จตอน 1 ทุ่ม คราวนี้ไม่เลทแล้วครับตรงเวลาเด๊ะ สงสัยจะกลัวพวกเราคอมเพลนครับ เพราะเมื่อตอนบ่ายโดนไป 1 ดอก ข้อหาทำให้หลวงไข่โมโหหิว 555 ผมไม่ได้ใจร้ายนะ แต่เขาทำไม่ได้อย่างที่พูดเอง อ้อลืมบอกไป พี่ชัยกับพี่ทิพย์ไปได้ปลามาด้วยเขามาเร่ขายแบบเปิดท้าย ได้ปลาซาบะมาสองตัวเอามาให้เขาทอดให้ กินกับข้าวอร่อยมากๆครับ ขอบคุณพี่ๆใจดีทั้งสองที่ทำให้หลวงไข่และลุงเสริมได้อร่อยกับปลาทอดวันนี้ครับ ปิดท้ายด้วยรูปเตียงในห้องนอนของเรานะครับที่สิกิริยาวิวรีสอร์ท ราตรีสวัสดิ์ครับ 

อ่านบทความถัดไป วันที่ 5 เดินทางจากสิกิริยาไปวัดทองที่ดัมบุลล่า เดินทางเข้าเมืองแคนดี้ ชมระบำแคนดี้
อ่านบทความก่อนหน้า วันที่ 3 เดินทางจากเมืองอนุราธปุระไปเมืองโพลอนนารูวา ชมอุทยานประวัติศาสตร์โพลอนนารูวา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น