รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวประเทศศรีลังกา เที่ยวศรีลังกาด้วยตัวเอง ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวศรีลังกา

รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวประเทศศรีลังกา  เที่ยวศรีลังกาด้วยตัวเอง ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวศรีลังกา
Sri Lanka Trip Review รีวิวทริป เที่ยวประเทศ ศรีลังกา

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 5 เดินทางจากสิกิริยาไปวัดทองที่ดัมบุลลา เดินทางเข้าเมืองแคนดี้ ชมระบำแคนดี้

สวัสดีครับ วันนี้ก็เป็นวันที่ 5 ของการเดินทางท่องเที่ยวประเทศศรีลังกานะครับ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2555 ครับผม พวกเรานัดโรงแรมเอาไว้ว่าจะทานอาหารเช้าตอน 7 โมงครึ่งครับ คราวนี้โรงแรมจัดให้พวกเราตรงเวลาเด๊ะ ไม่มีเลทครับ อาหารเช้าที่โรงแรม สิกิริยาวิวรีสอร์ทจะเป็นพวกขนมปังทาแยม มีไข่ด่วให้คนละฟอง แล้วก็มีผลไม้พวกสับปะรด แตงโม กล้วยให้คนละจานครับ แล้วก็นัดรถตุ๊กๆ ให้มารับพวกเราไว้ตั้งแต่เมื่อวานว่าให้มารับพวกเราตอน 8 โมงครึ่ง  กินอาหารเช้ายังไม่ทันเสร็จ 8 โมง 15 โชเฟอร์ตุ๊กๆทั้งสองนายก็มารอพวกเราแล้วครับ ก็เลยต้องรีบกิน แล้วก็เคลียร์บิลต่างๆของโรงแรม ที่สิกิริยาวิวรีสอร์ทนี้พวกผมจ่ายค่าอาหารไปรวมทั้งหมดสองห้อง 6,644 รูปี หรือ 1,661 บาทโดยประมาณ ก็ตกคนละ 400 บาทนิดๆ ไม่ถือว่าแพงครับ 


เวลา 8:30 น.พวกเราเดินทางออกจากโรงแรมด้วยสองตุ๊กๆนี้มุ่งหน้าไปยังวัดทองที่เมืองดัมบุลล่าครับ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีด้วยรถตุ๊กๆนี้ครับ ระหว่างทางตาโชเฟอร์เสื้อเหลืองในรูปพยายามหว่านล้อมให้พวกผมหยุดแวะร้านสมุนไพร อะไรก็ไม่รู้ คะยั้นคะยอเหลือเกิน แต่ผมขี้เกียจแวะครับ ก็เลยบอกว่าให้ไปเลย ครึ่งชั่วโมงต่อมาเราก็มาถึงวัดทองที่ดัมบุลล่าครับผม จ่ายค่ารถตุ๊กๆไปตามตกลงไว้เมื่อวานคือคันละ 800 รูปี (200 บาท) แต่พอมาถึงวัดพวกผมก็สงสารเขาอีกเพราะเขาก็พาเรามาไกลมากพอสมควร ก็เลยตกลงกับพี่สุรชัยว่าให้เพิ่มอีก 200 รูปี เป็นคันละ 1,000 รูปีไปเลยครับ สองโชเฟอร์ดีใจยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ถ่ายรูปกับลุงเสริมเป็นที่ระทึกครับ 


พระทองที่อยู่ตรงด้านหน้าทางขึ้นรังคิริดัมบุลลราชมหาวิหาร


ตรงซุ้มด้านขวามือในรูปพระทองข้างบนนี้จะเป็นที่ขายตั๋วเพื่อขึ้นไปชมวัดรังคิริดัมบุลลราชวิหาร หรือ Rock Temple ตั๋วราคนคนละ 1,300 รูปีครับ พี่สุรชัยกับพี่ทิพย์ตัดสินใจไม่เดินขึ้นไปอีกแล้วครับเพราะต้องใช้แรงเดินอีกแล้ว เลยขอเฝ้ากระเป๋ารออยู่ด้านล่างครับ (ที่จริงคิดว่าสามารถฝากกระเป๋าตรงที่ซุ้มขายตั๋วได้ครับ หรืออาคารด้านหน้าของวัดครับ )


ซื้อตั๋วแล้วก็เดินมาทางด้านซ้ายของรูปพระทองข้างบนจะมีป้ายบอกทางขึ้นไป Rock Temple หรือ รังคิริดัมบุลลราชวิหารครับ


เริ่มเดินขึ้น ทางไม่ค่อยชันเท่าไหร่ครับ สบายๆ 


พอสูงขึ้นไปมันก็ชักจะชันขึ้นๆไปทุกที ทำให้แรงถดถอยลงอย่างมาก ร้อนด้วยครับ ถึงแม้จะมีร่มไม้เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่มีลมพัดให้หายร้อนเลยครับ


ระหว่างทางเดินขึ้นก็มีแผงขายขงที่ระลึดกด้วยครับ ส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูปหรือหินเป็นสีๆแบบนี้ครับ 


หนทางแค่ผ่านมาได้แค่ครึ่งเดียวครับ ยังเหลืออีกครึ่งทาง แต่ก็เริ่มชันขึ้นเรื่อยๆครับ ลุงเสริมนำไปละลิ่วแล้วครับ ส่วนหลวงไข่ค่อยๆเดินขึ้น เพราะหนักพุงเหลือเกิน 


สักพักทางขึ้นก็ผ่านซุ้มแบบนี้ครับ


ผ่านซุ้มไปหลวงไข่บอกลุงเสริมว่าไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก ขอหยุดพักนั่งข้างทางก่อน มีฝูงทหารพระรามเต็มไปหมด 


นอกจากทหารพระรามแล้ว มีสุนัข 4-5 ตัวเดินขึ้นมาด้วย ไม่รู้มากับใคร 


พักเหนื่อยแล้วเดินต่อครับ สุดท้ายก็มาถึงซุ้มทางเข้ารังคิริดัมบุลลราชวิหารครับ 


ด้านหน้ามีที่ฝากรองเท้าครับ ค่าฝากคู่ละ 25 รูปีครับ จ่ายตอนขากลับ


ลอดซุ้มทางเข้ามาแล้วจะเจอกับทางเข้าของถ้ำต่างๆครับ รังคิริดัมบุลลราชวิหาร (Rangiri Dambulla Rajamahaviharaya) แปลว่าวัดภูเขาทองแห่งเมืองดัมบุลละ สันนิษฐานว่าเป็นวัดป่าอรัญวาสีเกิดมีภายหลังพระพุทธศาสนาเผยแผ่เข้าสู่เกาะลังกาแล้วไม่นาน อารามแห่งนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายสมัยพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย เมื่อพระองค์เสด็จหนีราชภัยมาอาศัยวัดถ้ำแห่งนี้ระยะหนึ่ง ภายหลังต่อมาครั้นปราบพวกทมิฬขึ้นครองราชย์อีกครั้ง จึงโปรดให้สลักพระพุทธปฏิมาอีกทั้งวาดภาพจิตรกรรมตามผนังถ้ำ หลายศตวรรษต่อมาพระเจ้านิสสงกมัลละกษัตริย์แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ โปรดให้บูรณะซ่อมแซมวัดครั้งใหญ่ทั้งวดภาพและปั้นพระพุทธปฏิมาจำนวนมาก สุดท้ายพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดี้โปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์อีกรอบ 
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 280


ถ้ำแรกชื่อว่าเทวราชวิหาร (Devaraja Vihara) ภายในประดิษฐานพระพุทธปฏิมาปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ สันนิษฐานว่าสร้างสมัยพระเจ้านิสสังกมัลละ กษัตริย์แห่งอาณาจักรโปโฬนนารุวะ เหตุเพราะลักษณะคล้ายกับพระนอนกัลวิหาร 
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 280


ด้านบนพระเศียรเป็นซุ้มของเทพวิษณุ 


ด้านพระบาทเป็นรูปปั้นพระอานนท์เถระ


รูปปั้นพระอานนท์เถระครับ 


 อันนี้เป็นพระบาทครับ ใหญ่มากๆ เป็นลายอะไรไม่แน่ใจครับมองไม่ชัดกลมๆแฉกๆแบบนี้


อาคารภายนอกของถ้ำที่ 1 เป็นอาคารของเทพวิษณุสถิตภายใน ซึ่งเป็นที่มาของคำว่าเทวราชวิหาร
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 280


ถ้ำที่สองเรียกว่ามหาราชวิหาร (Maharaja Vihara) เป็นถ้ำใหญ่ที่สุดประกอบด้วยงานศิลป์ผสมผสานกันระหว่างยุคโปโฬนนารุวะกับยุคแคนดี้ มีพระปฏิมาน้อยใหญ่หลายปางรวม 60 องค์มองตามฝาผนังถ้ำมีภาพบรรยายเกี่ยวกับชาดกและพุทธประวัติ ด้านหลังพระประธานมีรูปปั้นเทพเจ้าหลายองค์
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 280


ภาพเขียนบนผนังถ้ำครับ


ภาพเขียนบนผนังถ้ำอีกรูปครับ 


พระพุทธไสยาสน์ในถ้ำที่สองครับ 


พระพุธรูปในถ้ำที่สองครับ


พระพุทธรูปในถ้ำที่สองครับ

พระพุทธรูปในถ้ำที่สองครับ


รูปนี้เป็นรูปปั้นของพระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยครับ (ซ้าย) 


ถ้ำที่สามชื่อว่าอลุตวิหาร (Alut Vihara) เป็นแหล่งรวบรวมงานศิลป์ไว้มากมายไม่แพ้ถ้ำที่สอง โดยเฉพาะพระพุทธรูปปางประทานอภัยมีลักษณะคล้ายพระยืนเอาว์กะนะ สันนิษฐานว่าเป็นศิลปะสมัยแคนดี้ 


พระพุทธปฏิมาภายใต้ประตูมังกรหรือมกรโตราน ในถ้ำที่สามครับ


นอกจากนั้นยังมีพระปางประทับยืนประทับนั่งอีก 50 องค์ ตามฝาผนังถ้ำเป็นภาพวาดบรรยายเกี่ยวกับพุทธประวัติ ชาดก และประวัติศาสตร์ของลังกา บูรณะครั้งสุดท้ายสมัยพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะแห่งอาณาจักรแคนดี้
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 281


เจดีย์ใหญ่ภายในถ้ำที่สามครับ

พระพุทธรูปในถ้ำที่สามครับ


รูปปั้นพระเจ้ากีรติศรีราชสิงหะในถ้ำที่สามครับ


พรพุทธรูปปางประทับนั่ง ยืน ภายในถ้ำที่สามครับ


ถ้ำที่ 4 ชื่อว่าปัจฉิมวิหาร (Pacchim Vihara) เป็นถ้ำบูรณะขึ้นมาใหม่สมัยอาณาจักรแคนดี้สังเกตได้จากพระพุทธปฏิมาและภาพจิตรกรรมฝาผนังบ่งชี้ว่าเป็นงานศิลป์สมัยแคนดี้ชัดเจน เจดีย์ตรงกลางนามว่าโสมาวตีเจดีย์ หลักฐานบอกไว้ว่าพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัยสร้างถวายเป็นอนุสรณ์แด่ความกล้าหาญของพระมเหสีนามดังกล่าว เจดีย์เดิมถูกคนบาปทุบทำลายเพื่อการหาของมีค่าส่วนของใหม่สร้างขึ้นสมัยปัจจุบัน 
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 281


ถ้ำที่ 5 เป็นถ้ำสุดท้ายนามว่าเทวนาอลุตวิหาร (Devana Alut Vihara) เป็นถ้ำขนาดเล็กสุดหากเปรียบเทียบกับถ้ำอื่น บูรณขึ้นมาใหม่สมัยปัจจุบันและเปิดให้เข้าชมได้ไม่นานเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์สลักจากหินและพระพุทธรูปน้อยใหญ่ 11 องค์ นอกจากนั้นเป็นรูปปั้นเทพวิษณุ และ พระเทพนาถะ ถือว่าเป็นศิลปะสมัยแคนดี้ 
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของ ลังกากุมาร หน้า 281


เดินออกมาภายนอกเห็นความยิ่งใหญ่อลังการของถ้ำครับ


สระบัวด้านหน้าถ้ำครับ


ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่อยู่ตรงลานด้านหน้าถ้ำครับ มีชาวศรีลังกาเข้ามายืนไหว้อยู่ตลอดเวลาครับ


เยี่ยมชมวัดเสร็จแล้วก็เดินกลับออกมาทางเดิมครับ กลับมาเอารองเท้า จ่ายไปคู่ละ 25 รูปี เดินมาใส่รองเท้าเพิ่งสังเกตเห็นวิวป้อมปราการลอยฟ้าสิกิริยาอยู่ลิบๆครับผม 


เดินลงข้างล่างย้อนกลับทางเดิมครับ 


ขาลง เพิ่งเห็นว่ามีคนเอางูมาใส่ในกระบุงแบบนี้แล้วเป่าปี่ครับ พอผมถ่ายรูป มาขอตังค์เฉยเลย ผมเลยบอกว่ายังไม่ได้ถ่ายสักนิด 555 ไม่ได้ดูเขาแสดงอะไรให้ดูซะหน่อย ขอตังค์ซะงั้น อย่างนี้หลวงไข่ไม่ปลื้มครับเลยไม่ให้ตังค์เขาเลย


มีอีกอย่างที่ผมเพิ่งเคยเห็นที่ศรีลังกาก็คือมะม่วงเปลือกสีแดงครับ เพิ่งเคยเห็นนี่แหละ ไม่ได้ลองชิมดูว่าหวานหรือเปล่านะครับแต่สีน่ากินอยู่ ที่ไม่กล้าซื้อเพราะกลัวว่ามันจะเปรี้ยวอีกเหมือนตอนที่ลุงเสริมให้ผมซื้อให้กินบนรถบัสวันที่นังจากอนุราธปุระไปโพลอนนารูวา (พอซื้อมาเปรี้ยวกินไม่ได้ ยกให้หลวงไข่เฉยเลย ลุงเสริมนะลุงเสริม )


ลงมาถึงข้างล่างมาเข้าห้องน้ำ สะอาดดีครับ จ่ายค่าเข้าห้องน้ำครั้งละ 10 รูปี จากมุมที่หน้าห้องน้ำ ถ่ายรูปย้อนขึ้นมาที่องค์พระสวยงามไปอีกแบบครับ


ส่วนภาพนี้เป็นเจดีย์ที่อยู่ด้านหน้าของวัดนะครับ 


ลงมาถึงข้างล่างเจอพี่สุรชัยกับพี่ทิพย์นั่งผูกมิตรสัมพันธ์กับเพื่อนๆ (ป้าๆ) ชาวศรีลังกาครับ จากการสืบถามพวกป้าๆบอกว่ามาเรียนธรรมะกันที่วัดวันอาทิตย์ครับ 


ลาป้าๆกันแล้วก็ออกมารอรถบัสที่หน้าวัดเพื่อที่จะต่อรถไปเมืองแคนดี้ต่อ เจอตำรวจรูปหล่อใจดีคนนี้ครับช่วยโบกรถให้ (ที่จริงควรนั่งตุ๊กๆย้อนกลับไปในตัวเมืองดัมบุลลาอีกทีที่ท่ารถเพราะถ้ารอตรงนี้รถส่วนใหญ่จะไม่มีที่นั่งครับ แต่พวกเราก็ตั้งใจไว้แล้วว่าจะยืนครับถ้าไม่มีที่นั่ง


พี่ตำรวจโบกรถบัสให้เรา เป็นรถแอร์ครับ คนเต็มคันรถเลย เข้าใจว่าเขาคงไม่จอดเถ้าเราโบกเองเพราะคนเต็มแล้ว (ต้องไปรถธรรมดาถึงจะมีที่นั่ง) แต่พอเห็นตำรวจโบกเขาเลยจอด เราก็เลยได้ขึ้น สภาพเลยเป็นอย่างที่เห็นครับ ในรถคนแน่นมาก แถวกลางตรงทางเดินยังเอาเก้าอี้มาเสริมเป็นที่นั่งครับ ส่วนพวกเรา 4 ชีวิต แทบจะไม่มีที่ให้ยืนครับ แต่คนศรีลังกาก็ใจดีมากครับ อาสาช่วยถือกระเป๋ากล้อง ถือถุงขนม ถืออะไรที่มันพะรุงพะรังให้พวกเราหมดเลยครับ แถมจะสละที่นั่งให้ พวกผมเลยบอกว่าไม่เป็นไรครับ ขอบคุณมากๆ ในความมีน้ำใจของคนศรีลังกา ยืนไปได้สัก 20 นาทีคนก็เริ่มทะยอยลงครับ พวกเราถึงได้นั่งกัน ทีละคนสองคน ค่ารถบัสจากดัมบุลลาไปแคนดี้คนละ 190 รูปีครับ (ประมาณ คนละไม่ถึง 50 บาท) 


จากดัมบุลลาถึงเมืองแคนดี้รถบัสใช้เวลา 2 ชั่วโมงครับ สังเกตถนนที่รถบัสวิ่งจะเป็นถนนหมายเลข A9 ครับ ถนนสายนี้เรียกว่าถนน Kandy - Jaffna Highway เป็นถนนเส้นยาวมากเชื่อเมืองแคนดี้กับเมืองจัฟฟ์นาทางตอนเหรือของประเทศศรีลังกาครับ  รถบัสจอดให้พวกเราลงที่ป้ายรถเมล์ตรงทางแยกที่ถนน A9 ตัดกับถนนริมทะเลสาบเมืองแคนดี้ ทีนี้ก็งงทิศไปหมด เพราะจับทางไม่ถูก สถานเดียวคือตุ๊กๆครับ (มารู้ทีหลังเดินไปเรื่อยๆก็ถึงโรงแรมแล้วครับ แต่วันที่มาถึง ตุ๊กๆมันพาเราวนรอบทะเลสาบไปอีกด้านเลยงงกันไปใหญ่) ตุ๊กๆเรียกคันละ 300 รูปี (75 บาท) ก็ตกลงไปครับเพราะดีกว่าเดินหลง ให้เมื่อยตุ้ม ประมาณ 10 นาที ตุ๊กๆก็พาเรามาถึงโรงแรมที่พวกเราจองไว้ครับคือ Settle Inn Tourist Lodge แปลกใจตรงที่อโกด้าบอกในเว็บแค่ 1 ดาวแต่ผมว่าโรงแรมนี้ผมให้สามดาวเลยครับ ห้องสวย ใหม่ สะอาด น่านอนครับ ผมชอบที่นี่ที่สุดครับในบรรดาทุกโรงแรมที่ไปพัก


เตียงนอนในห้องผมกับลุงเสริมครับ พวกเรามาถึงโรงแรมประมาณ บ่าย โมงครึ่งเลยอาบน้ำพักเอาแรงเล็กน้อย ว่าจะออกไปหาอะไรกินกัน ปรากฏว่าฝนตกครับ ตกแบบหนักเลย เลยต้องนอนรอในห้องแล้วก็สั่งข้าวผัดในโรงแรมกันครับ อร่อยมาก ข้าวผัดไก่อีกแล้ว แต่อร่อยจริงๆครบ คอนเฟิร์ม 


ประมาณบ่าย 4 โมงครึ่งฝนหยุดตกแล้วพวกเราก็เลยออกเดินครับ กะว่าจะไปเดินเล่นวัดพระเขี้ยวแก้ว 


ถ้าจะเดินไปวัดพระเขี้ยวแก้วจากโรงแรมของเราก็ต้องเลี้ยวขวาออกมาจากประตูทางเข้าโรงแรม เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอแนวทะเลสาบแคนดี้อยู่ด้านซ้ายมือ แต่โรงแรมพวกเราเป็นถนนชั้นสองครับ เลยมองเห็นทะเลสาบจากมุมสูงๆ แต่ว่าต้นไม้บังเยอะครับ วิวเลยไม่ค่อยเห็นอะไรเท่าไหร่ 


เดินตามถนนมาเรื่อยๆ ผ่านบ้านคนผ่านโรงเรียน ฟ้ายังไม่เปิดครับ 


เดินไปเรื่อยๆครับ สักพักก็เจอทางโค้งลงเป็นถนนเส้นที่เลียบทะเลสาบชั้นล่าง แต่ให้เราเดินตรงไปครับ ก็จะเป็นถนนปิดไม่ให้รถผ่าน แต่คนจะเดินได้ครับ มันคือทางเข้าด้านหลังของวัดพระเขี้ยวแก้วครับ (ทางเข้าด้านหน้าคือทางที่มาจากโรงแรม Queen นะครับ 


แต่ว่าวันนี้ตั้งใจว่าจะไม่เข้าวัดก่อนเลยเดินชมรอบๆนอกกำแพงวัด ภาพนี้เป็นภาพริมทะเลสาบแคนดี้ข้างวัดพระเขี้ยวแก้วนะครับ ปลาเยอะมากๆ ในทะเลสาบ


หลังจากนั้นก็เดินผ่านข้างๆวัด แต่ภาพนี้ยืนถ่ายจากนอกกำแพงเหล็กนะครับ ยื่นมือเข้ามาถ่ายในวัด


แถวๆทางเข้าด้านหลังของวัดพระเขี้ยวแก้วตรงริมทะเลสาบจะมีโรงละครที่จัดแสดงระบำแคนดี้นะครับ เดินผ่านไปแถวๆนั้นไม่ต้องกลัวหลงครับ มีไกด์มาคอยเรียกตลอดเวลาให้เข้าชมการแสดง พี่สุรชัยกับพี่ทิพย์ไม่อยากดูเลยเดินกลับโรงแรมไปซะก่อน ผมก็เลยต้องดูกับลุงเสริมสองคน ไหนๆก็มาแล้วดูซะหน่อยตั๋วก็ไม่ได้แพงอะไรเลย  ราคาคนละ 500 รูปีครับ (125 บาท) บัตรเข้าชมสีฟ้าๆแบบนี้ และแจกกระดาษ A4 มาให้เราด้วย 1 แผ่นบอกลำดับ และชือ และประวัติของโชว์ต่างๆอย่างคร่าวๆครับ 


ซื้อตั๋วแล้วก็เดินเข้ามาข้างในครับ มีเวทีใหญ่ๆ มีเก้าอี้นั่งชมเป็นชั้นๆ เหมือนในโรงหนัง แต่ที่นี่เป็นเก้าอี้ธรรมดาครับ นักท่องเที่ยวเริ่มทะยอยเข้ามารอกันเรื่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นฝรั่งกับญี่ปุ่นครับ คนไทยมีอยูสองหน่อครับ 


โชว์เริ่มแสดงตอน 17:30 นะครับ เริ่มการแสดงชุดแรกเป็นการเป่าแตรหอยสังข์ครับ พร้อมเสียงกลองตะโพนกระหึ่มก้องกังวาลน่าเกรงขามมากครับ การเป่าแตรหอยสังค์นี้เป็นการแสดงแบบเดียวกับการฉลองพระเขี้ยวแก้วที่วัดพระเขี้ยวแก้วหรือวัดศรีดาลาดามัลลิกาวาครับ ดูวิดีโอประกอบนะครับ ลิงค์ยูทูป ผมอัพโหลดไว้หมดแล้ว หาดูด้านขวามือของบล็อกนี้นะครับ 


ชุดต่อไปเรียกว่า Pooja Dance ครับ ประมาณว่าไหว้ครูอะไรทำนองนี้ครับ ต่อไปเป็นระบำเรียกว่า Penteru Natum คือเอาเครื่องดนตรีชนิดหนึงคล้ายๆกับแทมโบรินครับ แต่ไม่ได้ถ่ายภาพนิ่งไว้ มีแต่วิดีโอ ตามมาด้วย Cobra Dance หรือระบำงูจงอางนะครับ มีแต่วิดีโอเหมือนกัน


ภาพนี้เป็นระบำหน้ากากนะครับ ดูไปดูมาก็งงๆ ไม่รู้แสดงเพื่ออะไร เดินเวียนไปเวียนมา ต่อมาคือ Mayura Wannama หรือระบำนกยูงครับ ดูวิดีโออย่างเดียวนะครับไม่มีภาพนิ่ง ถัดมาก็เป็น Raban Dance อันนี้ผมประทับใจที่สุดเพราะเขาเอาอะไรก็ไม่รู้กลมๆคล้ายกลองแบนๆ มาปั่นๆหมุนบนนิ้ว ไม่ใช่อันเดียวนะครับ หลายอันมาก ทั้งหญิงทั้งชายเลย เก่งมากครับ 


ต่อไปเป็น Ves Dance ที่ใช้ผู้แสดงชายทั้งหมด ในคู่มือกระดาษสีขาวบอกว่าู้ผู้แสดงต้องใส่เครื่องประดับ 64 ชิ้น แล้วต้องฝึกเต้นกันนานมากกว่าจะชำนาญ แต่ก็ดูๆไปไม่รู้ว่าต้องฝึกให้ชำนาญยังไง เห็นเป็นท่าเต้นธรรมดาทั่วไปครับ (อันนี้ผมไม่มีความรู้ ก็เลยมองไม่ออกครับ) 


Ves Dance อีกรูปครับ 


แสดงครบทุกชุดแล้วนักแสดงทั้งหมดมายืนหน้าเวทีร้องเพลงชาติศรีลังกาครับ (National Anthem)


ต่อไปเป็นการแสดงการบูชาไฟครับ ใช้ผู้แสดงชายสองท่าน จุดไปไหว้ครูทำพิธีก่อน


แล้วก็พ่นไฟ แสดงสลับกันไปมาทั้งสองคน


แล้วก็ลุยไฟให้พวกเราดูให้หวดเสียวเล่น ขอบอกว่าเป็นไฟจริงๆครับ ร้อนมากจริงๆ ผมนั่งแถวหน้าสุด รัศมีความร้อนของเปลวไฟยังมาโดนหน้าเป็นระยะๆครับ 


การแสดงทั้งหมดใช้เวลา 1 ชั่วโมงเต็มครับ ผู้ชมทยอยออก มีผู้แสดงมาถือกล่องทิป ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวคนไหนให้ทิปเขาเลย ผมเลยควักให้ สงสารเขาน่ะ แต่ให้ไปแค่ 100 รูปีครับ อิๆ


เสร็จจากโชว์ก็ตั้งใจว่าจะเดินกลับโรงแรม แต่ปรากฏว่ามืดครับ เดินไปพักหนึ่งก็หลงครับจับเส้นทางไม่ได้ ประกอบกับฝนก็ลงมาปรอยๆ ก็เลยตัดสินใจนั่งตุ๊กๆกลับครับ ก่อนถึงโรงแรมบอกให้ตุ๊กๆพาไปกดตังค์ก่อน โชเฟอร์ตุ๊กๆคนนี้เลยบอกราคา 400 รูปี ก็ยอมจ่ายครับไม่ต่อสักรูปี รวย 555 กลับมานอนโรงแรมอย่างปลอดภัย ไม่ต้องกินข้าวแล้วครับ ยังอิ่มเมื่อตอนบ่ายไม่หาย 

อ่านบทความถัดไป วันที่ 6 เที่ยววัดพระเขี้ยวแก้ว (Sri Dalada Maligawa Temple) ช็อปปิ้งเมืองแคนดี้

อ่านบทความก่อนหน้า วันที่ 4 เดินทางจากโพลอนนารูวา ไปสิกิริยา ชมพระราชวังลอยฟ้าเมืองสิกิริยา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น