รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวประเทศศรีลังกา เที่ยวศรีลังกาด้วยตัวเอง ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวศรีลังกา

รีวิวการเดินทางท่องเที่ยวประเทศศรีลังกา  เที่ยวศรีลังกาด้วยตัวเอง ข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวศรีลังกา
Sri Lanka Trip Review รีวิวทริป เที่ยวประเทศ ศรีลังกา

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

วันที่ 6 เที่ยววัดพระเขี้ยวแก้ว (Sri Dalada Maligawa Temple) ช็อปปิ้งเมืองแคนดี้

สวัสดีเช้าวันจัทร์ที่ 15 ตุลาคม 2555 ซึ่งเป็นวันที่ 6 ของการเที่ยวประเทศศรีลังกาครับ วันนี้พวกเราตื่นกันแต่เช้ามาทาน Breakfast ที่ทางโรงแรมเตรียมไว้ให้เป็นพวกขนมปัง แยม เนย ชากาแพ และผลไม้ก็มีสับปะรด แตงโม และกล้วยทำเป็นเซ็ทๆให้แต่ละคนครับ


เจ้าของโรงแรมเห็นพวกเราแต่งชุดขาวกันแล้วตะลึงในความเตรียมพร้อมครับ เลยขอถ่ายรูปด้วย ขาวะจนออร่าจับ 555 (ที่จริงไม่ต้องแต่งชุดสีขาวก็ได้ครับ เท่าที่เห็น แต่คนศรีลังกาเขามักจะใส่ชุดขาวกันแบบว่าเข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามครับ)


ประมาณ 8 โมงเช้าก็ได้เวลาเดินทางออกจากโรงแรม เพื่อไปวัดพระเขี้ยวแก้วครับ หรือวัดศรีดาลาดามัลลิกาวา จากประตูโรงแรม เดินเลี้ยวขวาเดินไปตามถนนเรื่อยๆ ครับ 


ระหว่างทางไปเจอลุงคนนี้ขับสามล้อเครื่อง ขายล็อตเตอรรี่ครับ เลยช่วยแกซื้อ เพราะแกพิการทางขาครับ เดินไม่ได้ 


โฉมหน้าล็อตเตอรีประเทศศรีลังกาแบบเต็มๆครับ ซื้อมา 1 ใบ 20 รูปี (5 บาท) ไม่มีชาร์ตเพิ่มราคาเหมือนบางประเทศครับ ที่นี่รางวัลจะออกเป็นรายวนัน แต่พวกผมคิดว่าคงไม่ถูกครับ ก็เลยไม่ได้ตรวจ ต้องตรวจกับหนังสือพิมพ์ฉบับวันรุ่งขึ้นครับ


ประมาณ 15 นาที เราเดินมาถึงวัดครับ แต่เป็นทางเข้าทางด้านหลังวัดนะครับ ลุงเสริมถ่ายรูปกับตำรวจศรีลังกาที่เผ้าอยู่ตรงทางเข้าครับ


ก่อนเข้าวัดก็ซื้อดอกบัวที่เขาทำไว้เป็นชุดๆแบบนี้ครับ อันละ 50 รูปีครับ 


ประตูตรงทางเข้าจะต้องแยกหญิงชายนะครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน (อ่านหนังสือย้อนหลังได้ความว่าเคยมีเหตุการณ์กบฏแบ่งแยกดินแดนของพยัคฆ์ทมิฬอีแลมบรรทุกระเบิดเต็มรถสามล้อ แล้วพุ่งเข้าชนถึงกำแพงวัดพระเขี้ยวแก้วชั้นใน เมื่อ พ.ศ. 2541 ทำให้ตึกด้านหน้าเสียหายย่อยยับ แต่วิหารที่บรจุพระเขี้ยวแก้วมิได้เป็นอันตรายแต่ประกาใด) 


แล้วก็เดินเลียบกำแพงด้านข้างวัดมาเรื่อยจนถึงทางเข้าวัดด้านหน้าครับ จะมีซุ้มขายบัตรเข้าวัดครับผม


โฉมหน้าบัตรเข้าวัดพระเขี้ยวแก้วหรือวัดศรีดาลาดามัลลิกาว่าครับ คนละ 1000 รูปีครับ (250 บาท) มี CD Rom อันเล็กอยู่ด้านในด้วยครับ เหมือนกับบัตรค่าเข้าชมสถานที่ที่สิกิริยา และ โพลอนนารูวา ครับ ก่อนเข้าวัดจะมีที่เก็บรองเท้าไว้ด้านนอกครับข้างที่ซื้อตั๋ว คู่ละ 20 รูปี 


หลังจากนั้นก็เดินเข้ามาด้านใน ก็ยังมีซุ้มชายดอกไม้ (ดอกบัว) ข้างในครับ แต่ไม่ได้ถามราคา เพราะเราซื้อกันมาจากข้างนอกแล้ว 


แล้วก็เดินตามทางเดินไปแบบนี้นะครับ 


แล้วเราก็จะเจอกับหอที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วครับ แต่ตรงนี้เป็นชั้นล่างนะครับ 


พระเขี้ยวแก้วอยู่ด้านบนครับ ต้องเดินขึ้นบันไดไปทางนี้ ครับ ตรงข้างล่างนี้ มีตำรวจหรือไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของวัดมาติดต่อพวกเราว่าจะพาพวกเราเข้าไปด้านใน ถึงพระเข้ยวแก้วเลยครับ แต่ผมไม่ค่อยไว้ใจว่าเขาจะต้องมาขอตังค์พวกเราแน่ๆ เลยเดินขึ้นมาข้างบนก่อน ส่วนพี่สุรชัยกับพี่ทิพย์บอกว่ามาถึงทั้งทีแล้ว ขอเข้าไปใกล้ๆหน่อย เขาเรียกค่าพาเข้าไปก็จะจ่ายครับ 


ขึ้นมาข้างบนแล้ว จะเจอกับฝูงมหาชน พุทธศาสนิกชน และ นักท่องเที่ยว  นั่งรออยู่เต็มแล้วครับ รวมทั้งคนที่เข้าแถวรอนมัสการพระเขี้ยวแก้ว แถวยามมาจนถึงขั้นบันไดที่ผมเดินขึ้นมาเมื่อกี้เลยครับ 


พี่สุรชัยกับพี่ทิพย์ก็ขึ้นมาแล้ว แต่ไปยืนอยู่ทางด้านหน้า ตรงประตูหอที่เก็บพระเขี้ยวแก้ว พี่สุรชัยเรียกผมกับลุงเสริมให้เข้าไป ก็เลยเข้าไปด้วย ไหนๆก็มาแล้ว จ่ายก็จ่ายวะ  สักพักเจ้าหน้าที่เรียกพวกเราให้เข้าไป จนถึงผอบที่เก็บพระเขี้ยวแก้วครับ เอาดอกไม้ไปวางไว้ในถาด ความรู้สึกนั้นมันปลื้มปิติตื่นเต้น ตื้นตัน จนบอกไม่ถูกครับ พี่สุรชัยเลยนำสวดอิติปิโสไปสามจบ สวดจบแล้วก็โดนเจ้าหน้าที่บอกให้ออกมาได้แล้วครับ เพราะเขาให้เวลาแค่นิดเดียว ห้ามพวกเราถ่ายรูปด้วย ก็เลยไม่ได้ถ่ายครับ พออกมา พวกเจ้าหน้าที่นี้ก็มี 3-4 คน ขอตังค์พวกเรา ก็จ่ายกันคนละ 100 รูปี เหมือนจะไม่พอใจขอเพิ่มแต่พวกเราบอกว่าให้แค่นี้ เขาก็ไม่ว่าอะไรครับ อาจจะด่าในใจ 555 


เสร็จแล้วพวกเราก็ออกมาด้านหน้าเหมือนเดิม แล้วไปต่อแถวเพื่อเข้าสักการะบูชาอีกรอบจากด้านหน้าแบบนี้ครับ เวลานี้เราจะได้ยินเสียงพวกวงตะโพนเป่าปี่ ตีกลองดังกระหึ่มไปทั่ววัดครับ แล้วเจ้าหน้าที่ทางวัดก็จะเปิดหน้าต่างตรงนี้ครับ ให้คนที่เข้าแถวอยู่เอาดอกไม้ หรือเงิน เดินเข้าแถวไปถวายพระเขี้ยวแก้ว วางลงในถาดในรูปถัดไปด้านล่างนี้นะครับครับ 


ผอบที่เก็บพระเขี้ยวแก้ว แบบถ่ายไกลๆครับ เหลืองทองอร่ามสดใสน่าตื้นตันมากครับ เสียดาย รูปเอียงไปนิด


พอหมดคนไหว้แล้วเขากเอาผ้าปิดทันที แล้วก็ปิดหน้าตางครับ แต่ยังได้ยินเสียงตะโพน ปี่ กลอง กระหึ่มมาจากข้างล่างอยู่ 


ประชาชนศรีลังกา บางคน เอาดอกไม้ที่วางอยู่ด้านหน้ากลับบ้านเอาไปบูชาด้วยครับ พวกเราเห็นเลยเก็บไว้ด้วยนิดหน่อย (ตอนนี้เหี่ยว แห้งหมดแล้วครับ) 


เสร็จกิจไหว้พระเขี้ยวแก้วแล้วก็ลงมาข้างล่างเหมือนเดิมครับ ถ่ายให้เห็นหอที่บรรจุพระเขี้ยวแก้วทั้งด้านบนด้านล่างครับ 


แต่เสียงตะโพน กลอง ปี่ก็ยังดังกระหึ่มก้องวัดครับ เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมากครับ ผมชอบฟังมากเลย 


มีบางช่วงที่นักตะโพนจะต้องเดินเวียนหอนี้ด้วยสามรอบ แล้วก็มายืนอยู่แบบนี้ใหม่ครับ ประมาณ 1 ชั่วโมง เสียงตะโพนก็สงบลง เป็นการเสร็จสิ้นการฉลองพระเขี้ยวแก้วประจำวันครับ (เริ่มประมาณ 9 โมงเช้า)


อีกมุมหนึ่งชั้นล่างมีองค์พระพุทธรูปองค์นี้ ช่างงดงามเหลือเกินครับ 


อีกมุมจะเป็นวิหารประดิษฐานพระปางสมาธิ จะมีซุ้มประตูแบบนี้ เรียกว่าซุ้มประตูมังกรหรือมกรโตราน(Makara Torana) ครับ



พระพุทธรูปภายในวิหารครับ ปางสมาธิ (Aramudalge) งดงามมากครับ 


ออกมาด้านนอกด้านข้างวัดจะเห็นอาคารของวัดพระเขี้ยวแก้วอย่างนี้ครับ 


เวลาจุดเทียน ชาวศรีลังกาเขามาจุดในโรงข้างนอกแบบนี้ครับ ไม่ได้จุดตอนไหว้พระนะครับ


คูน้ำรอบๆอาคาร หน้าวัดพระเขี้ยวแก้วด้านในครับ 


ข้างโรงที่ชาวศรีลังกามาจุดเทียนนั้น มีอาคารหลังเล็กๆอยู่หลังหนึ่ง ข้างในมีรูปปั้นช้าง และภาพประวัติของวัดครับ แต่มีแต่ภาษาสิงหลครับ อ่านไม่ออกเลย เท่าที่อ่านในหนังสือ ช้างเชือกนี้เป็นช้างชื่อราชา เป็นผู้ทำหน้าที่อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วเข้าพิธีแห่จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต ครับผม


ด้านหน้าวัดเป็นหอแปดเหลี่ยม หรือ อัษฏางคมุข )Pattrippuwa) สร้างสมัยพระเจ้าศรีวิกรมราชสิงหะ ผู้เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของลังกาก่อนเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ออกแบบโดยสถาปนิกประจำพระราชสำนักนามว่าเทเวนทรามูลาจารย์ (Devendra Mulacharya) เพื่อเป็นที่ประทัพของกษัตริย์ยามทอดพระเนตรพิธีแห่พระเขี้ยวแก้ว ปัจจุบันเป็ฯหอไตรสำหรับเก็บคัมภีร์ใบลานอันเก่าแก่โบราณ นอกจากคัมภีร์ภาษาสิงหลแล้ว ยังมีคัมภีร์ใบลานจารึกอักษรขอมซึ่งนำไปจากประเทศไทยสมัยพระอุบาลีมหาเถระและคณะไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาที่เกาะลังกา 
คัดลอกข้อความบางตอนมาจากหนังสือ ของดีศรีลังกา ของลังกากุมาร หน้า 304


หลังจากนั้นพวกเราก็เดินออกมาจากวัดครับ ด้านหน้าวัดจะมองเห็นเป็นแบบนี้นะครับ ถ้าเข้ามาจากด้านโรงแรม Queen จะเห็นเป็นทางเดินเข้ามาด้านหน้าวัดแบบนี้


ออกมานอกวัดแล้ว ขอถ่ายรูปวิวทะเลสาบเมืองแคนดี้นะครับ สวยมากครับ


วิวจากแนวกำแพงวัดด้านนอกครับ 


วิวทะเลสาบเมืองแคนดี้ครับ


วิวทะเลสาบเมืองแคนดี้อีกรูป ครับ


อันนี้โรงแรมควีนส์ครับผม (Queen's Hotel) 


ประตูทางเข้าวัดพระเขี้ยวแก้ว ด้านหน้า มองจากโรงแรมควีนส์ ครับผม 


ออกมาจากวัดก็เริ่มหิวครับ เดินหาของกิน เดินเลียบถนนริมทะเลสาบออกมาเรื่อยๆ ตามถนน Sri Dalada Veediya (หรืออีกชื่อคือถนนเส้น A1) ก็จะเจอร้าน KFC ครับผม 


ใช้มือเปิบสถานเดียวครับ เซ็ทนี้ 1090 รูปีครับ = 272.50 บาท


กินเสร็จแล้วก็เดินไปตามถนนเส้นเดิมเรื่อยๆครับ เจอหอนาฬิกาเมืองแคนดี้ครับ 


เดินต่อไปอีกนิดจะเจออาคารนี้ครับ มันคือ Kandy Central Market ครับ เป็นตลาดขายของเสื้อสัตว์เสื้อผ้า สารพัดอย่างครับ ด้านหน้า ด้านขวามือมีที่ทำการไปรษณีย์ด้วยครับ


ที่ทำการไปรษณีย์ย่อยเมืองแคนดี้ครับ (ไปรษณีย์หลักอยู่ข้างสถานีรถไฟเมืองแนดี้ครับ เดี๋ยวได้เห็นในบทความถัดไป) 


ลุงเสริม อดีตบุรุษไปรษณีย์ครับ ขอถ่ายกับไปรษณีย์ศรีลังกาซะหน่อย ผมเข้ามาซื้อแสตมป์ครับ เพราะก่อนหน้านี้ได้ซื้อไปรษณียบัตรไว้หลายๆที่ส่งให้เพื่อนที่ทำงานครับ โปสการ์ดแต่ละใบถ้าจะส่งมาประเทศไทยต้องติดแสตมป์ดวงละ 25 รูปี ประมาณ 6 บาทนิดๆ ถูกมากเลยนะครับ (ถ้าส่งโปสการ์ดจากบ้านเราไปต่างประเทศ ต้องติดแสตมป์ 15 บาทครับ) 


ขึ้นไปบนตลาดชั้นสองในรูปเมื่อกี้ ได้แม่เหล็กติดตู้เย็นมาเพียบเลยครับ อันละ 120 รูปี ต่อเหลือได้แค่อันละ 110 รูปีครับ ได้เสื้อยืดพิมพ์ลายเขียนว่า Srilanka มาสามตัว ตัวละ 500 รูปี (ราคาบอกตอนแรก 700 รูปี) 

รูปปั้นในสวนในโรงแรม Settle Inn ครับ
หลังจากซื้อของเสร็จฝนก็กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาครับ ที่ตั้งใจว่าจะเดินกลับโรงแรมก็ไม่ไหว เดี๋ยวของเปียกหมด เลยนั่งตุ๊กๆกลับ เสียไปอีก 300 รูปี ครับ มาถึงโรงแรมก็นอนงีบเอาแรง 


ตอนค่ำก็สั่งข้าวกิน ข้าวผัดไก่เช่นเคย อร่อยมากๆ ที่ล็อบบี้ตรงนี้จะให้ลูกค้าเขียนข้อความที่ระลึกไว้บนผนังได้ด้วยครับ เจ๊ทิพย์เลยจัดการซะ ใครไปทีหลังหาของหลวงไข่ให้เจอนะครับ อิๆ


อันนี้เป็นรูปของนามบัตรโรงแรมครับ


อันนี้เป็นแผนที่เมืองแคนดี้ ตัดมาจากแผนที่กูเกิล คลิกให้ใหญ่ได้ครับ 

หลังจากนั้นก็มีกรุ๊ปฝรั่งเข้ามาเช็คอินในโรงแรมนี้อีกหลายคู่ครับ เข้ามาถามข้อมูลวัดจากพวกผมกันใหญ่เลย แต่ก็รู้สึกดีครับที่ได้ให้ข้อมูลกับคนอื่นจากประสบการณ์ของเรา และฝรั่งทุกคนที่เราเจอน่ารักมากครับ ล้วนแล้วแต่เคยมาเที่ยวประเทศไทยแล้วทั้งนั้นครับทุกคู่เลย น่าภูมิใจในประเทศเรานะครับ ที่ฝรั่งยังถือว่าเป้นจุดหมายหลักที่ฝรั่งยังอยากมาเที่ยว  คืนนี้นอนหลับฝันดีนะครับทุกคน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น